วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

Future...?



วันนี้เป็นวันที่รู้สึกว่าอนาคตมืดมัว การเลือกสายที่จะเรียนเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับตอนนี้ ยุคสมัยนี้ ตอนเด็กๆ ที่ถามว่าโตไปอยากเป็นอะไรนั้น เราคิดว่าคนเค้าถามผิด ตอนนี้คงถามได้แค่ว่าโตขึ้น จะทำอะไรได้บ้าง เลือกที่จะทำอะไรได้บ้าง ที่ได้ถามและได้อ่านของหลายคน บ้างก็ว่าสายน่ะไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก โตไปก็มีงานทำ แต่ที่เห็นและได้ยินว่าคือสายวิทย์ทำอะไรได้มากมายกว่าสายศิลป์มากจริงๆ มันเป็นตัวแปรในการเข้าเรียนต่อมหาลัย คนฉลาดมีทางเลือกมากกว่า เลือกงานได้ มีโอกาสมากกว่าชัดๆ อยู่แล้ว แต่เราเองเป็นคนที่ไม่มีหัวในทางคำนวณเลย เรียนคณิตมากี่ปีๆ ก็ตายสนิท หากจะต่อสายวิทย์เพื่อเพิ่มโอกาสตัวเองมีหวังได้หวังมาเรียนมอสี่ใหม่อีกครั้งล่ะมั้ง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คือพูดตรงๆ ว่าไม่สามารถเรียนจริงๆ
ตอนมอต้นวิชาวิทย์เป็นอะไรที่น่าเกลียดมาก เพราะไม่เคยสอนตารางธาตุอะไรให้เราได้รับรู้เลย รัฐบาลก็งี้แหละ  ในขณะที่เพื่อนที่โรงเรียนเอกชนรู้ตั้งแต่มอหนึ่ง ที่จริงโทษโรงเรียนไม่ได้หรอก ต้องมองที่ครู ห้องบางห้องในชั้นเรียนที่โรงเรียนใหม่ก็ได้เรียนตารางธาตุไปแล้ว ความรู้ในเรามีน้อยจนคิดว่าตัวเองกลวงมากๆ แต่เรียนไปใช่ว่าจะมีแค่วิทย์คณิตที่ต้องกลัว วิชาอื่นอีกมากมายทวีความยากมากขึ้น ถ้าไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนี้คงจะทำให้พ่อแม่ผิดหวังแน่ๆ พ่อแม่ตั้งความหวังสูงเหลือเกิน แม้ท่านจะบอกว่าเรียนสายอะไรที่ลูกสามารถเรียนได้ก็เถอะ แต่เราบอกได้ว่าท่านผิดหวังในตัวเราอยู่เหมือนกันที่มาเรียนในสายศิลป์ที่ใครๆ ก็มองว่าโตไปต้องหางานยาก
พ่อแม่อยากให้เป็นข้าราชการ เพราะมีสวัสดิการดี แต่เราคิดว่าเราคงไม่มีความสุขในการทำงานแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดไม่ออกว่างานอะไรที่จะทำให้มีเงินมาเลี้ยงพ่อแม่ในวันที่ท่านไม่มีแรง น้องเราเก่งนะ แต่มันค่อนข้างขี้เกียจมากถึงมากที่สุด หนังสือไม่ยอมอ่านแต่มันหัวดี สอบได้ที่ดีๆ ตลอด เราคิดว่าถ้ามันอ่านหนังสือและสนใจในการเรียนซักหน่อย มันต้องได้ที่หนึ่งตลอดแน่ๆ มันฝันอยากเป็นสัตวแพทย์แบบเรา แต่เรารู้ว่าเราไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นหมอสัตว์อย่างที่ฝันไว้เสียสวยหรูหรอก ไม่มีปัญญาน่ะ ฮ่ะฮ่ะ  เราคงได้แต่ฝัน แต่ถ้าเป็นมัน ความฝันที่เราและน้องอยากจะเป็นคงจะสำเร็จแน่ๆ เรารู้ว่ามันเรียนสายวิทย์ได้ และรู้ดีว่าตัวเองมีปัญญาแค่นี้ เรียนได้แค่สายศิลป์ที่ใครๆ ก็ดูแคลน  ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงโง่แบบนี้
พ่อกับแม่เปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ที่จะต้องเอาเบเกอรี่ไปขายที่ตลาด พ่อกับแม่บอกว่าอยากให้เราทำงานดีๆ พูดอยู่เสมอๆ ว่าจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่ แต่เราคิดจริงๆ ว่าถ้าโง่เกินไปก็อยากจะลองเปิดกิจการของตัวเอง ไม่ได้เปิดแบบอื่นนะ แต่แบบมาพัฒนาร้านของพ่อแม่ ไม่ใช่มานั่งทำกันเองหรอก แต่มีลูกจ้างหรือขายส่งอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้ลูกค้าในพื้นที่แถวบ้านเราไม่ค่อยมี เลยไม่ได้เปิดร้านแบบอยู่สบายๆ แล้วมีลูกค้ามาใช้บริการถึงที่ ทุนก็ยังไม่มีรองรับ คิดว่าทำงานเก็บเงินก่อนหรืออะไรสักอย่าง เราอยากให้ตอนที่เราโตขึ้นที่นี่จะมีอะไรพัฒนาบ้าง ไม่รู้สิ มันเป็นเรื่องของอนาคตทั้งนั้นเลยนี่นาเนอะ เรามันเลื่อนลอยชะมัด
เคยอ่านเรื่อง ทางเทวดาเทวาวาด หรือเปล่า? เรื่องนั้นเป็นอะไรที่ทำให้เราฉุกคิดได้อย่างหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเป็นตอนนี้หรือว่าวันพรุ่งนี้ ล้วนเป็นผลจากการกระทำของเราเองทั้งนั้น ถ้าขวนขวายถ้าพยายามทำ มันจะต้องมีสักวันที่จะประสบความสำเร็จ บางคนทำแล้วล้มเหลว ก็ท้อแท้ที่จะทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ โดยไม่ได้พยายามเพิ่มไปมากกว่านั้นเลย อืม อันนี้ก็เหมือนเรานะ ถ้าเราพยายาม เลิกโทษหัวสมองตัวเองแล้วเรียนให้ได้ห้องสายวิทย์หรือให้ได้เกรดดีๆ แต่น่าขำที่เราเลิกพยายามแล้วมาเขียนอะไรแบบนี้
เราเห็นผู้คนมากมาย ทั้งคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูงและคนที่ล้มเหลวและไม่มีวันที่จะลุกขึ้นได้อีก เราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรที่แตกต่าง ทำอะไรที่แตกต่างกันหรือเปล่า ทำไมเขาถึงมีไม่เหมือนกัน ตอนนี้เราคิดว่าได้เกรดดีไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดี หรือทำงานดีกว่าคนที่ได้เกรดไม่ดีแต่มีความพยายาม บางทีความพยายามจริงๆ จังๆ อาจจะเป็นสิ่งที่เราขาดก็ได้นะ  ความรู้สึกในตอนนี้มันมีปะปนกันเยอะแยะจนพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษรไม่หมด ไม่แปลกหรอกที่จะเขียนอะไรไม่รู้วกวนไปหมด เราเกรดไม่ดีนะ แต่เรามั่นใจมากว่าเราเป็นคนดีในระดับหนึ่งแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับตอนนี้ อนาคตต่อไปจากนี้ให้ การกระทำของเราเองเป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่อนาคตที่จะมาตัดสินทุกอย่าง คุณว่าอย่างนั้นมั้ย?

          ยิ่งสูงยิ่งเห็น ยิ่งสูงยิ่งมองได้ไกล และได้เห็นในมุมมองที่กว้างใหญ่ เปิดความคิดให้ไกลจากสายตา เราควรยืนมองดู อยู่เหนือหัวใจแห่งปัญหา และจะเห็นทุกเรื่องราวไม่หนักหนา หมื่นทางตันให้ออกอยู่เสมอ

เราต้องอยู่สูงเท่าไหร่กันหรือ ถึงจะมองเห็นทางออกแห่งปัญหานี้ได้เสียที….